โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ วันที่ ๑๙ กรกฏาคม ๒๕๕๒ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ เวลากลางวันของแต่ละวันที่กล่าวมา จำเลยพรากนางสาวรัตติยาพร ยิ่งยง ผู้เสียหายที่ ๒ อายุ ๑๗ ปีเศษ ไปเสียจากนายรุ่งอรุณ ยิ่งยง ผู้เสียหายที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ปกครองดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลของจำเลยโดยใช้อวัยวะเพศของจำเลยกระทำกับอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๒ โดยผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ยินยอมและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เหตุเกิดที่ตำบลสวาท ตำบลสามแยก อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธรและตำบลใดไม่ปรากฏชัดอำเภอนิคมคำสร้อย อำเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหารเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖,๒๘๕,๓๑๘,๙๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า นางสาวรัตติยาพร ยิ่งยง ผู้เสียหายที่ ๒ เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน๒๕๓๕ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายรุ่งอรุณ ยิ่งยง ผู้เสียหายที่๑ กับนางประกายแก้ว ยิ่งยง ปรากฏตามสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ.๓ โดยผู้เสียหายที่ ๒ อยู่ในความปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำเลยซึ่งเป็นอาจารย์สอนรายวิชาฟิสิกส์โดยใช้โทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายที่ ๒ บอกให้มาช่วยทำกิจกรรมที่โรงเรียนเลิงนกทา เมื่อไปถึงผู้เสียหายที่ ๒ ช่วยพิมพ์งานของจำเลยที่ศูนย์ถ่ายเอกสาร แล้วจำเลยบอกว่าจะพาไปดูงานที่จังหวัดมุกดาหาร ต่อมาจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปจังหวัดมุกดาหารโดยมีนางสาวดาริน สิงคิบุตร เพื่อนผู้เสียหายที่ ๒ ไปด้วย เมื่อขับไปถึงห้างสรรพสินค้าโลตัสมุกดาหาร จำเลยจอดรถให้นางสาวดารินลงจากรถ ผู้เสียหายที่๒ ขอลงจากรถด้วยแต่จำเลยไม่ยอมให้ลงแล้วขับรถพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่อาคารแห่งหนึ่งหลังสถานีขนส่งจังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงจำเลยเปิดประตูห้องแล้วพลักผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปภายในแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ จนสำเร็จความใคร่ แล้วข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายที่ ๒นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกผู้ใด หลังจากนั้นจำเลยขับรถพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปรับนางสาวดารินที่ห้างสรรพสินค้าโลตัสมุกดาหาร แล้วพาทั้งสองกลับไปส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา ต่อมาวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลากลางวันจำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อมาข่มขู่บอกให้ผู้เสียหายที่ ๒ ออกไปพบที่โรงเรียนเลิงนกทา แล้วจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่สวนน้ำรีสอร์ท อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงจำเลยพาผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปในห้องแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ จนสำเร็จความใคร่ แล้วข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายที่ ๒ นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกผู้ใด หลังจากนั้นจำเลยขับรถพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา ต่อมาวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลากลางวันจำเลยใช้โทรศัพท์มาข่มขู่บอกให้ผู้เสียหายที่ ๒ ออกไปพบที่โรงเรียนเลิงนกทา แล้วจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่สวนมะละกอรีสอร์ท อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงจำเลยพาผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปในห้องแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ จนสำเร็จความใคร่ แล้วขู่ไม่ให้ผู้เสียหายที่ ๒ นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกผู้ใด หลังจากนั้นจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลากลางวันจำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อมาข่มขู่บอกให้ผู้เสียหายที่ ๒ ออกไปพบที่โรงเรียนเลิงนกทา แล้วจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่สวนน้ำรีสอร์ท อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงจำเลยพาผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปในห้องแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ จนสำเร็จความใคร่ แล้วข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายที่ ๒ นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกผู้ใด หลังจากนั้นจำเลยขับรถพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปส่งที่โรงเรียนเลิงนกทาเช่นเดิม ต่อมาวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ เวลากลางวันจำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อมาข่มขู่บอกให้ผู้เสียหายที่ ๒ ออกไปพบที่โรงเรียนนกทาเช่นเดิม แล้วจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่สวนมะละกอรีสอร์ท อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงจำเลยพาผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปในห้องแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ จนสำเร็จใคร่ แล้วข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายที่ ๒ นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกผู้ใด หลังจากนั้นจำเลยขับรถพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา ต่อมาวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ เวลากลางวันจำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อมาหาพูดในทำนองข่มขู่บอกให้ผู้เสียหายที่ ๒ ออกไปพบที่โรงเรียนเลิงนกทาเช่นเดิม แล้วจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่สวนน้ำรีสอร์ท อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงจำเลยให้ผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปในห้องแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ จนสำเร็จความใคร่ แล้วข่มขู่ไม่ให้ผู้เสียหายที่ ๒ นำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกผู้ใด หลังจากนั้นจำเลยขับรถพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา ต่อมาผู้เสียหายทั้งสองจึงไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินคดีแก่จำเลย แล้วพนักงานสอบสวนสอบคำให้การผู้เสียหายทั้งสองและจำเลยไว้ ตามบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.๑๘,จ.๑๒ และ จ.๑๖ ตามลำดับ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
จำเลยนำสืบว่า ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำเลยไปทำหน้าที่เป็นวิทยากรอบรมครูผู้สอนคณิตศาสตร์ที่โรงแรมภูดิน อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ตั้งแต่วันที่ ๑๗ ถึงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒ ปรากฏตามวุฒิบัตรเอกสารหมาย ล.๘ และภาพถ่ายการรับวุฒิบัตรหมาย ล.๙ วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ จำเลยเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม พร้อมกับกลุ่มนิสิตปริญญาโทวิทยาเขตศูนย์เลิงนกทา วันที่ ๑๙ และวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ กับวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ เวลากลางวัน วันดังกล่าวจำเลยเข้าเรียนชั้นปริญญาโทอยู่ที่โรงเรียนเลิงนกทา ทั้งวันตั้งแต่เวลา ๘ นาฬิกา ถึง ๑๖ นาฬิกา ส่วนวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ จำเลยไปอบรมเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดมัธยมศึกษาตอนปลายจังหวัดยโสธรที่โรงเรียนยโสธรพิทยาคม และได้รับเกียรติบัตรปรากฏตามเกียรติบัตรเอกสารหมาย ล.๑๐
ศาลขั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคแรก, ๓๑๘ วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น จำคุกกระทงละ ๖ ปี รวม ๖ กระทง เป็นจำคุก ๓๖ ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ไม่เกินสิบแปดปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ ๔ ปี รวม ๖กระทง เป็นจำคุก ๒๔ ปี รวมจำคุก ๖๐ ปี แต่ให้จำคุกจำเลย ๕๐ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ (๓) ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
ข้อ ๒. ด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลย ยังไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าวทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จำเลยจึงจำเป็นต้องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ดังต่อไปนี้
ข้อ ๓. อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่
ในปัญหานี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า " ฯลฯ โจทก์มีผู้เสียหายที่ ๒ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ ที่โรงเรียนเลิงนกทามีการจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่ เวลา ๑๐ นาฬิกา จำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อมาบอกให้ไปช่วยงานกิจกรรมที่โรงเรียน ผู้เสียหายที่ ๒ จึงเดินทางออกจากบ้านพร้อมกับนางสาวดาริน สิงคิบุตร เมื่อมาถึงโรงเรียนผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปช่วยพิมพ์งานของจำเลยที่ห้องศูนย์ถ่ายเอกสาร นั่งพิมพ์เอกสารอยู่สักครู่หนึ่ง จำเลยเดินเข้ามาหาบอกว่า จะพาไปดูงานที่จังหวัดมุกดาหาร แต่ผู้เสียหายที่ ๒ บอกว่าไม่อยากไปแต่จำเลยบอกว่า นางสาวดาริน เพื่อนของจำเลยที่ ๒ ไปด้วย จึงตกลงไปกับจำเลย หลักจากนั้นผู้เสียหายที่ ๒ เดินไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเดินกลับพบกับนางสาวจันจิรา ผ่านเมือง เพื่อนร่วมห้องเรียนจึงบอกกับนางสาวจันจิราว่า จำเลยจะพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปดูงานที่จังหวัดมุกดาหาร ในวันนั้นเองจำเลยขับรถยนต์ของจำเลยยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ คันหมายเลขทะเบียน กข ๔๗๘๖ ยโสธร พาผู้เสียหายที่ ๒ กับนางสาวดารินไปทางบ้านกุดแห่ มุ่งหน้าไปจังหวัดมุกดาหาร โดยผู้เสียหายที่ ๒ นั่งด้านหน้าคู่กับจำเลย ส่วนนางสาวดารินนั่งอยู่เบาะด้านหลัง โดยผู้เสียหายที่ ๑ และมารดาของผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ทราบเรื่อง ต่อมาเวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์มาจอดที่ปากทางเข้าสถานีขนส่ง จังหวัดมุกดาหาร จำเลยให้ผู้เสียหายที่ ๒ กับนางสาวดารินนั่งรอในรถยนต์แล้วจำเลยลงจากรถไปประมาณ ๕ นาที กลับมาขับรถยนต์พาทั้งสองคนไปถึงห้างสรรพสินค้าโลตัสมุกดาหาร จำเลยมอบเงินจำนวน ๒๐๐ บาท ให้นางสาวดารินลงจากรถ เมื่อเห็นดังนั้นผู้เสียหายที่ ๒ จึงขอลงด้วยแต่จำเลยดึงมือไว้ไม่ให้ลงบอกว่าจะพาไปรับประทานอาหารรอแล้วจะกลับมารับนางสาวดารินที่ห้างสรรพสินค้าโลตัสมุกดาหารในภายหลัง แล้วจำเลยขับรถยนต์พากลับมาจอดที่บริเวณหลังสถานีขนส่งจังหวัดมุกดาหาร และพาผู้เสียหายที่ ๒ ขึ้นไปที่อาคารหลังหนึ่งโดยไม่ทราบว่าอาคารดังกล่าวเป็นอาคารอะไร แต่เมื่อเดินตามขึ้นไปจำเลยได้เปิดประตูห้องออกแล้วผลักผู้เสียหายที่ ๒ เข้าไปในห้องใช้กำลังปลุกปล้ำผู้เสียหายที่ ๒ ส่งเสียงร้องให้คนช่วยเหลือ แต่จำเลยชกที่ท้องจนจุกร้องไม่ออก แล้วลากตัวขึ้นไปบนเตียงนอนถอดกางเกงขายาวและกางเกงชั้นในของผู้เสียหายที่ ๒ ออก และจำเลยถอดเสื้อผ้าของตนออกจนหมดเช่นกัน แล้วจำเลยได้ใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดเข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๒ แล้วชักเข้าชักออกจนมีน้ำสีขาวขุ่นออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลย หลังจากนั้นจำเลยบอกว่าห้ามมิให้นำเรื่องดังกล่าวไปบอกใครโดยเฉพาะกับบิดามารดามิฉะนั้นจะนำเรื่องดังกล่าวไปประจานให้ได้รับความอับอาย หลังจากนั้นจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปรับนางสาวดารินที่ห้างสรรพสินค้าโลตัสจังหวัดมุกดาหาร พาทั้งสองมาส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา ต่อมาวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลาประมาณ๑๐ นาฬิกา จำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อบอกให้ผู้เสียหายที่ ๒ ไปพบที่โรงเรียนเลิงนกทา หากไม่ออกไปจำเลยขู่ว่าจะประจาน ผู้เสียหายที่ ๒ จึงจำต้องออกไปพบตามที่จำเลยต้องการ โดยบอกผู้เสียหายที่ ๑ กับมารดาว่าไปช่วยงานอาจารย์ที่โรงเรียน แล้วจำเลยพาไปที่สวนน้ำรีสอร์ท อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงจำเลยพาเข้าไปในห้องหนึ่งแล้วดึงลากมือขึ้นไปนอนหงายบนเตียง จำเลยได้ใช้มือข้างหนึ่งจับแขนทั้งสองข้างของผู้เสียหายที่ ๒ ยืดไปบนศรีษะ ใช้มืออีกข้างหนึ่งถอดกางเกงขาสั้นของ ผู้เสียหายที่ ๒ ออกแต่ไม่ได้ถอดเสื้อออก แล้วจำเลยใช้มือข้างเดียวกันนั้นถอดกางเกงของจำเลยออกจนหมด แล้วข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่แล้วพูดขู่ว่า ห้ามนำเรื่องดังกล่าวไปบอกกับผู้ใดเด็ดขาด มิฉะนั้นจะประจานให้ได้รับความอับอาย หลังจากนั้นจำเลยขับรถยนต์พากลับมาส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา จำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อมาหาบอกให้ไปพบที่โรงเรียนเลิงนกทา หากไม่ไปจำเลยขู่ว่าจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปประจานให้ผู้เสียหายที่ ๒ ได้รับความอับอาย จึงออกไปพบจำเลยที่โรงเรียนเลิงนกทาโดยบอกกับบิดามารดาว่าไปช่วยทำงานให้จำเลยที่โรงเรียน จากนั้นจำเลยขับรถยนต์พาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่สวนมะละกอรีสอร์ท อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงที่รีสอร์ทมีคนอยู่จำนวนมาก จำเลยลงจากรถก่อนแล้วเดินอ้อมรถมาเปิดประตูรถให้ลงจากรถบอกว่าให้ทำตัวปกติแล้วพาผู้เสียหายที่ ๒ เดินตามหลังเข้าในห้องแล้วบอกว่า ห้ามร้องให้ใครช่วยเหลือมิฉะนั้นจะประจานให้ได้รับความอับอาย แล้วจำเลยถอดกางเกงขาสั้นเอวยางยืดเสื้อชั้นนอกและชั้นในของผู้เสียหายที่ ๒ ออกจนหมด แล้วให้ผู้เสียหายที่ ๒ เดินขึ้นไปนอนหงายบนเตียง แล้วจำเลยถอดเสื้อผ้าของตนออกจนหมด แล้วขึ้นคร่อมโดยใช้มือข้างซ้ายปิดปากผู้เสียหายที่ ๒ และใช้มือข้างหนึ่งจับมือของผู้เสียหายที่ ๒ ไว้ไม่ให้ดิ้น แล้วใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๒ แล้วจำเลยโยกตัวเข้าออกจนมีน้ำออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลย แล้วจำเลยก็พูดข่มขู่ว่า ห้ามนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกผู้ใดมิเช่นนั้นแล้วจะเปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้นให้บุคคลอื่นรู้ให้ได้รับความอับอาย แล้วจำเลยขับรถยนต์พากลับมาส่งที่โรงเรียนเลิงนกทาเช่นเดิม และผู้เสียหายที่ ๒ เดินทางกลับบ้านเอง ต่อมาวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๑๐ นาฬิกา จำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อมาหาผู้เสียหายที่ ๒ บอกให้ไปพบที่โรงเรียนเลิงนกทา โดยขู่ว่าถ้าไม่ไปจะประจานให้ได้รับความอับอายเช่นเดิม จึงไปพบจำเลยที่โรงเรียนเลิงนกทาโดยบอกกับผู้เสียหายที่ ๑ และมารดาว่าจะไปช่วยอาจารย์ทำงานที่โรงเรียน จากนั้นจำเลยขับรถยนต์พาไปที่สวนน้ำรีสอร์ท อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงให้ผู้เสียหายที่ ๒ รออยู่ในรถ จำเลยเข้าไปติดต่อขอเช่าห้องพัก หลังจากนั้นจำเลยกลับมาขับรถยนต์ไปจอดข้างห้องพักห้องหนึ่งมีประตูทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อจำเลยลงจากรถแล้วให้ผู้เสียหายที่ ๒ เดินเข้าไปในห้องพักทางประตูด้านหลัง แล้วจำเลยเข้าห้องน้ำ สักครู่หนึ่งออกมาบอกให้ผู้เสียหายที่ ๒ ถอดเสื้อผ้าแล้วไปนอนบนเตียง จำเลยใช้มือข้างหนึ่งจับมือของผู้เสียหายที่ ๒ ชูไว้บนศีรษะเพื่อไม่ให้ขัดขืน แล้วจำเลยใช้อวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๒ โยกตัวเข้าออกจนจำเลยสำเร็จความใคร่ จำเลยได้พูดย้ำว่าห้ามนำเรื่องดังกล่าวไปบอกใคร และหลังจากนั้นจำเลยได้พามาส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ เวลาประมาณเที่ยงวัน จำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อบอกผู้เสียหายที่ ๒ ให้ไปพบที่โรงเรียนเลิงนกทาเช่นเดิม โดยจำเลยพูดว่า “ให้มาหาที่โรงเรียนหน่อย” ผู้เสียหายที่ ๒ จำใจต้องยอมออกไปกลัวว่าจำเลยจะนำเรื่องดังกล่าวไปประจานให้ได้รับความอับอาย จึงบอกผู้เสียหายที่ ๑ และมารดาว่าจะมาช่วยอาจารย์ทำงานที่โรงเรียน เมื่อไปถึงจำเลยขับรถยนต์พาไปที่สวนมะละกอรีสอร์ท ตั้งอยู่ที่อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร เมื่อไปถึงจำเลยให้ผู้เสียหายที่ ๒ ลงจากรถเดินตามหลังจำเลยเข้าไปในห้องพัก เมื่อเข้าไปในห้องพักจำเลยสั่งให้ผู้เสียหายที่ ๒ ถอดเสื้อผ้าออกแล้วให้ไปนอนบนเตียง จำเลยถอดเสื้อผ้าของตนออก แล้วใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๒ โยกตัวเข้าโยกออกจนมีน้ำสีขาวขุ่นออกมาจากอวัยวะเพศของจำเลย เสร็จแล้วสั่งให้ไปสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วพูดเหมือนเดิมว่าห้ามมิให้นำเรื่องดังกล่าวไปบอกผู้ใด แล้วจำเลยได้ขับรถยนต์พามาส่งที่โรงเรียนเลิงนกทา และเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๑๒ ถึง ๑๓ นาฬิกา จำเลยใช้โทรศัพท์ติดต่อบอกว่าให้ออกมาพบหน่อย ผู้เสียหายที่ ๒ จึงบอกผู้เสียหายที่ ๑ และมารดาว่าจะมาช่วยอาจารย์ทำงานที่โรงเรียนเลิงนกทา จำเลยขับรถยนต์พาไปที่สวนน้ำรีสอร์ท ตั้งอยู่ที่อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.๕ และ จ.๗ เมื่อไปถึงจำเลยติดต่อขอเช่าห้องพัก นำรถไปจอดที่ข้างห้องพักห้องหนึ่ง แล้วให้ผู้เสียหายที่ ๒ เข้าห้องพักทางประตูด้านหลัง เมื่อเข้าไปภายในห้องจำเลยถอดเสื้อผ้าของตนเองและสั่งให้ผู้เสียหายที่ ๒ ถอดเสื้อผ้าออกแล้วให้ไปนอนบนเตียงนอน เมื่อขึ้นไปบนเตียงนอนจำเลยใช้อวัยวะเพศของจำเลยสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ ๒ แล้วจำเลยได้ใช้มือข้างหนึ่งจับมือของผู้เสียหายที่ ๒ ไว้บนปลายเตียงเพื่อไม่ให้ดิ้นรน ทั้งพร้อมโยกตัวเข้าออกจนสำเร็จความใคร่ จำเลยบอกว่าห้ามนำเรื่องดังกล่าวไปบอกกับผู้ปกครอง หลังจากนั้นพามาส่งที่โรงเรียนเลิงนกทาเช่นเดิม เห็นว่า ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความเล่าเหตุการณ์เริ่มจากจำเลยอ้างว่าจะพาไปดูงาน แต่ผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ไป จำเลยจึงบอกแก่ผู้เสียหายที่ ๒ ว่าเด็กหญิงดารินเพื่อนของผู้เสียหายที่ ๒ ไปด้วยจึงทำให้ผู้เสียหายที่ ๒ ตัดสินใจไปกับจำเลย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เสียหายที่ ๒ ไปจังหวัดมุกดาหารกับจำเลยเป็นครั้งแรก ทั้งยังเบิกความเล่าเหตุการณ์ต่อไปว่า เมื่อไปถึงจังหวัดมุกดาหารแล้วจำเลยขับรถยนต์ไปจอดรถตรงจุดใดบ้าง ทั้งยังเบิกความถึงสาเหตุที่เด็กหญิงดารินต้องลงจากรถยนต์ทำให้ผู้เสียหายที่ ๒ ต้องอยู่เพียงลำพังกับจำเลยจนจำเลยพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปกระทำชำเราในครั้งแรกที่โรงแรมทรัพย์มุกดาแล้วถูกจำเลยข่มขู่ว่าห้ามนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปบอกผู้อื่น มิฉะนั้นจำเลยจะนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปประจานให้ได้รับความอับอาย จนทำให้คำขู่ดังกล่าวเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เสียหายที่ ๒ ต้องจำใจให้จำเลยพาไปข่มขืนกระทำชำเราในสถานที่ต่างๆในครั้งต่อๆมา ทั้งยังเบิกความให้รายละเอียดของที่ตั้ง ลักษณะของสถานที่เกิดเหตุในครั้งต่อๆมาไว้อย่างละเอียด หากผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ได้ประสบเหตุการณ์ด้วยตนเองแล้วก็ยากที่ผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นเด็กอ่อนประสบการณ์จะปั้นแต่งเรื่องได้สมเหตุสมผลเป็นลำดับขั้นตอนเช่นนี้ ทั้งนี้ขณะเบิกความผู้เสียหายที่ ๒ อายุ ๑๘ ปีเศษแล้ว ซึ่งอยู่ในวัยที่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกอับอายที่จะต้องเบิกความถึงรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมและลักษณะของการกระทำของจำเลยแต่ละขั้นตอนที่กระทำชำเราตนเองในแต่ละครั้ง หากไม่เป็นความจริงผู้เสียหายที่ ๒ คงไม่เบิกความให้ตนได้รับความอับอายเช่นนั้น อีกทั้งคำเบิกความดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำให้การของผู้เสียหายที่ ๒ ในชั้นสอบสวน เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ ๒ เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะให้การหรือเบิกความปรับปรำใส่ร้ายจำเลยซึ่งเป็นอาจารย์ของตนเองให้ต้องรับโทษ คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่าผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นพฤติการณ์ที่จำเลยพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปที่เกิดเหตุทั้งสามแห่งโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายที่ ๑ จึงเป็นการพาหรือหรือแยกผู้เสียหายที่ ๒ ผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองของผู้เสียหายที่ ๑ อันเป็นการล่วงล้ำอำนาจการปกครองของผู้เสียหายที่ ๑ แล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายที่ ๒ ไปเสียจากผู้ปกครองและภายหลังจากพรากผู้เสียหายที่ ๒ ไปในแต่ละครั้งแล้วจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ โดยใช้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญผู้เสียหายที่ ๒ ณ สถานที่ดังกล่าวในวันเดียวกันหลังจากพรากผู้เสียหายที่ ๒ ไปไม่นาน แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่า ในการที่จำเลยพรากผู้เสียหายที่ ๒ ไปในแต่ละครั้งจำเลยเจตนาพรากผู้เสียหายที่ ๒ ไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ จริง ฯลฯ " นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ที่เคารพว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดในคดีนี้แต่ประการใด ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาดังกล่าว จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการแรก ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความมีพิรุธขัดกับพยานหลักฐานอื่นในคดี
จำเลยขออุทธรณ์ในประการแรกว่า ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความขัดกับพยานหลักฐานอื่นที่โจทก์อ้างส่งในคดี ซึ่งเป็นการเบิกความขัดกันในสาระสำคัญ คำเบิกความของพยานปากนี้จึงไม่มีนำ้หนักให้รับฟังได้ ดังนี้
(๑) ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า ในการข่มขืนครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ นั้น ผู้เสียหายที่ ๒ ได้เดินทางไปจังหวัดมุกดาหารกับจำเลยพร้อมกับนางสาวดาริน สิงคิบุตร โดยจำเลยได้ให้นางสาวดารินลงจากรถ จากนั้นได้ขับรถพาพยานไปข่มขืน ฯลฯ นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ในส่วนนี้มีพิรุธเนื่องจากขัดกับพยานหลักฐานอื่นในคดี ซึ่งเป็นสาระสำคัญและไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ โดยมีเหตุผลดังนี้
(๑.๑) คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาวดาริน สิงคิบุตร ที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า ในวันเกิดเหตุ นางสาวดารินไม่ได้ไปกับผู้เสียหายที่๒ และกับจำเลยที่จังหวัดมุกดาหารแต่ประการใด นางสาวดารินเคยไปจังหวัดมุกดาหารกับผู้เสียหายที่ ๒ เพียง ๑ ตรั้งโดยไปกับเพื่อนๆ อีกสี่คนเท่านั้น ทั้งนี้ปรากฏตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวน เอกสารหมาย จ.๑๔ คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ จึงขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาวดารินในสาระสำคัญ นางสาวดารินเป็นประจักษ์พยานและเป็นพยานคนกลาง มีนำ้หนักมาก ตำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ จึงไม่มีนำ้หนักให้รับฟังแต่ประการใด
(๑.๒) นอกจากนั้น คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ยังขัดกับภาพถ่ายตามเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๑ ซึ่งตามภาพถ่ายดังกล่าวแสดงให้้เห็นได้ว่า ในวันที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างว่า ถูกข่มขืนดังกล่าว ผู้เสียหายที่ ๒ อยู่กับเพื่อน ๆ ที่สวนยาง โดยในกลุ่มเพื่อนๆ ดังกล่าวมีนางสาวดาริน สิงคิบุตรอยู่ด้วย ดังปรากฏในภาพถ่ายดังกล่าว ดังนั้นคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาวดารินประกอบกับภาพถ่ายดังกล่าวจึงรับฟังได้ว่า ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ นั้น ผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ได้ไปที่จังหวัดมุกดาหารดังคำเบิกความ แต่อยู่กับเพื่อน ๆ ดังปรากฏตามภาพถ่ายท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๑ คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ที่อ้างว่า ได้ถูกข่มขืนนั้นไม่เป็นความจริงแต่ประการใด
จำเลยขอกราบเรียนว่า จำเลยไม่เคยทราบมาก่อนว่า มีภาพถ่ายท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๑ แต่ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ได้มีเพื่อนของผู้เสียหายที่ ๒ นำภาพถ่ายมามอบให้ จำเลยจึงได้ยื่นภาพถ่ายต่อศาลมาแนบท้ายอุทธรณ์ฉบับนี้
(๑.๓) นอกจากนั้น ผู้เสียหายที่ ๒ ยังได้เบิกความว่า “ฯลฯ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๑๐ โมงเช้า (เหตุที่ข้าฯ จำได้เพราะเป็นวันพฤหัสบดี เนื่องจากวันดังกล่าวเป็นวันก่อนวันสุนทรภู่ ๑ วัน) ซึ่งในวันดังกล่าวที่โรงเรียนได้มีการจัดกิจกรรมวันสุนทรภู่ ซึ่งตามตารางเรียนของข้าฯ ในวันพฤหัส จะมีชั่วโมงว่างอยู่ จำเลยได้โทรศัพท์มาหาข้าฯ บอกว่า ให้ข้าฯ ไปช่วยงานกิจกรรมที่โรงเรียน ฯลฯ เมื่อข้าฯ นั่งพิมพ์เอกสารอยู่ครู่หนึ่ง จำเลยเดินเข้ามาหาบอกว่า จะพาไปดูงานที่จังหวัดมุกดาหาร ฯลฯ” นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ในส่วนนี้ก็เป็นความเท็จเช่นกันเพราะ โรงเรียนเลิงนกทา ได้มีการจัดงานวันสุนทรภู่รำลึกในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ในวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ ทั้งนี้ตามคำสั่งโรงเรียนและภาพถ่าย ท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๒ และ ๓ ที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า โรงเรียนได้มีการจัดงานวันสุนทรภู่ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ และจำเลยได้โทรมาหาเพือ่ให้ไปช่วยงาน และมีการกระทำความผิดในวันนั้นจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
นอกจากนี้ จำเลยขอกราบเรียนว่า ผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นนักเรียนอยู่ในขณะนั้นไม่ค่อยจะเข้าเรียน ทั้งนี้ปรากฏตามสำเนาบันทึกข้อความ เอกสารหมาย ล.๑๘ ทั้งปรากฏตามภาพถ่ายท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๑ ผู้เสียหายที่ ๒ จึงไม่เคยเข้าร่วมหรือช่วยในงานกิจกรรมของโรงเรียนแต่ประการใด คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
(๑.๔) ที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า “ฯลฯเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ ฯลฯ ข้าฯได้เข้าไปช่วยพิมพ์งานที่ห้องศูนย์ถ่ายเอกสารช่วยอาจารย์ ฯลฯ เมื่อข้าฯ นั่งพิมพ์เอกสารอยู่ครู่หนึ่ง จำเลยเดินเข้ามาหาบอกว่า จะพาไปดูงานที่จังหวัดมุกดาหาร” นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ดังกล่าวก็ไม่เป็นความจริงและเป็นพิรุธเพราะ
(๑.๔.๑) ห้องศูนย์ถ่ายเอกสารที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างดังกล่าว มีนางชญานิช ปะวะกุล ภริยาจำเลยเป็นผู้เปิดร้านและดูแลอยู่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะนัดและชักชวนให้ผู้เสียหายที่ ๒ ที่ศูนย์ถ่ายเอกสารดังกล่าว และนำรถมารับผู้เสียหายที่ ๒ ที่หน้าศูนย์เอกสารดังกล่าว
(๑.๔.๒) ห้องศูนย์ถ่ายเอกสารที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างดังกล่าว ไม่มีที่ให้พิมพ์งาน และไม่มีที่ให้จอดรถได้ ดังปรากฏตามภาพถ่ายท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๔
คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ จึงมีพิรุธดังเหตุผลดังกล่าวข้างค้น
๑.๕ นอกจากนั้น ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า ในการข่มขืนแต่ละครั้ง ผู้เสียหายที่ ๒ ได้จัดทำสมุดบันทึกเหตุการณ์ไว้ นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ดังกล่าวก็ไม่เป็นความจริงและเป็นพิรุธเพราะ
(๑.๕.๑) ในการให้การต่อพนักงานสอบสวนในครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และในการให้การเพิ่มเติมในครั้งต่อมาเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๒ ผู้เสียหายที่ ๒ มิได้เคยให้การว่า มีการบันทึกเหตุการณ์ไว้ในคดีนี้ไว้ในสมุดบันทึกแต่ประการใด และไม่ปรากฏว่า พยานโจทก์ปากใดได้ให้การถึงเรื่องสมุดบันทึกดังที่ผู้เสียหายเบิกความอ้างถึงไว้เลย ที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างถึงสมุดบันทึกมาจึงเป็นการสร้างเรื่องเพื่อที่จะเอาผิดกับจำเลยเท่านั้น
(๑.๕.๒) ในการให้การต่อพนักงานสอบสวนในครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ผู้เสียหายที่ ๒กลับไม่ได้ระบุรายละเอียดในการให้การในครั้งนี้แต่ประการใด วันเวลากระทำความผิด ผู้เสียหายที่ ๒ ระบุแต่เพียงว่า ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ เท่านั้นและไม่ได้ระบุวันกระทำความผิดในครั้งต่อมาอีกเลย สถานที่ใช้ในการข่มขืนในแต่ละครั้งก็มิได้มีการระบุ แม้แต่ชื่อของร้านยาก็ไม่ปรากฏโดยผู้เสียหายที่ ๒ ก็จำไม่ได้ ปรากฏตามบันทึกคำให้การ เอกสารหมาย จ.๑๒ นอกจากนั้นที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างว่า ได้จัดทำสมุดบันทึกเหตุการณ์ไว้ แต่กลับตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ได้เผาทำลายทิ้งไปเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ซึ่งถ้าหากเป็นดังที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความจริง ผู้เสียหายที่ ๒ ก็น่าที่จะระบุวัน เวลา รายละเอียดในการกระทำความผิดเสียตั้งแต่ในวันที่ให้การในวันนั้น ซึ่งเป็นระยะเวลาที่จดจำรายละอียดได้ดีที่สุด แต่กลับมิได้กระทำ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๓ ผู้เสียหายที่ ๒ จึงมาระบุวันกระทำความผิด ๗ ครั้ง ซึ่งหลังจากการให้การในครั้งแรกแล้วประมาณ ๑ เดือน และหลังจากเวลาที่เผาสมุดบันทึกทิ่งไปแล้ว ซึ่งถ้าหากผู้เสียหายที่ ๒ จดจำรายละเอียดได้จริง ผู้เสียหายที่ ๒ คงต้องระบุรายละเอียดตั้งแต่ในวันแจ้งความครั้งแรกแล้ว คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ในส่วนนี้จึงมีพิรุธ ขัดกับสามัญสำนึกโดยทั่วไป และไม่น่าเชื่อถือ
(๑.๕.๒) ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า เหตุครั้งแรกเกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ ก็ห่างจากเวลาที่ผู้เสียหายที่ ๒ ไปแจ้งความและให้การต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เป็นเวลามากกว่า ๗ เดือน จึงไม่น่าเชื่อว่า ผู้เสียหายที่ ๒ จะจดจำรายละเอียดได้ ที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างว่า ได้จัดทำสมุดบันทึกเหตุการณ์ไว้ แต่กลับตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ได้เผาทำลายทิ้งไปเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เนื่องจากกลัวมารดาทราบเรื่องก็ปรากฏว่าคำเบิกความนี้มีพิรุธ ขัดกับข้อเท็จจริงในคดีที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างว่า ได้มีการข่มขืนครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ จากนั้นไม่ปรากฏว่า มีการอ้างว่า มีการข่มขืนอีก ซึ่งถ้าหากผู้เสียหายที่ ๒ เกรงว่า มารดาจะทราบเรื่องจริง ก็น่าที่จะเผาทำลายทิ้งไปก่อนหน้าวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ แล้ว ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายที่ ๒ ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและมีการส่งผู้เสียหายที่ ๒ ไปตรวจพิสูจน์โดยแพทย์เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันเวลาหลังจากวันที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างว่า มีการเผาทำลายบันทึกเพียงไม่กี่วัน ที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความมาจึงเป็นการสร้างเรื่องเพื่อที่จะเอาผิดกับจำเลยเท่านั้น
๑.๖ คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ที่เบิกความในคดีนี้มีพิรุธน่าสงสัยมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของวัน เวลาและสถานที่ ตลอดจนพฤติการณ์ดังที่จำเลยได้ยกขึ้นอุทธรณ์แล้ว และยังมีปัญหาอีกว่า ถ้าหากเป็นดังที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า มีการข่มขืนในระหว่างวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ แต่ระยะเวลาที่ผู้เสียหายที่ ๒ มาแจ้งความเป็นวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันมาก และไม่ปรากฏว่า มีการอ้างว่า มีการข่มขืนกันอีกเลย ซึ่งอธิบายสาเหตุไม่ได้ และมาปรากฏว่า มาปรากฏเหตุการณ์เมื่อมีเหตุการณ์เกิดที่บ้านของผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งเป็นเรื่องทะเลาะกันระหว่างผู้เสียหายที่ ๒ กับเพื่อน โดยที่จำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพียงแต่มีการกล่าวหาว่า จำเลยเข้าข้างอีกฝ่ายเท่านั้น จึงก่อให้เกิดเรื่องขึ้นมา และมีการแจ้งความในคดีนี้ จึงเห้นได้ว่า เป็นการสร้างเรื่องกันขึ้นมาเท่านั้น หาใช่เป็นความจริงดังที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความไม่
๑.๗ จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า จำเลยมีพยานหลักฐานชัดเจนแน่นอน ยืนยันได้ว่า ตามวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างถึงนั้น จำเลยไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ดังข้อเท็จจริงและเหตุผลที่จำเลยจะขอกราบเรียนในอุทธรณ์ข้อต่อไป
(๒) คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์สนับสนุน
ในคดีนี้จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่า จำเลยเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๒ โดยในใบนำส่งผู้บาดเจ็บ เอกสารหมาย จ.๑ ระบุผลการตรวจเพียงว่า พบรอยฉีกขาดของเยื่อพรหมจรรย์เก่า ซึ่งการฉีกขาดของเยื่อพรหมจรรย์อาจเกิดจากสาเหตุอื่นใดก้ได้มิใช่เกิดจากการร่วมเพศเพียงประการเดียว ซึ่งข้อเท็จจริงนี้เป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไป ดังนั้นที่แพทย์สรุปผลการตรวจว่า ผ่านการร่วมประเวณีมาแล้ว จึงเป็นการสรุปผลการตรวจที่ไม่ถูกต้อง และไม่อาจยืนยันได้ว่า ผู้เสียหายที่ ๒ ได้ผ่านการร่วมประเวณีมาแล้ว
นอกจากนั้น จำเลยขอกราบเรียนว่า ผลการตรวจดังกล่าวก็มิได้ยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ ๒ แต่ประการใด
(๓) คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ที่อ้างว่า ถูกการข่มขืนครั้งแรกขัดต่อสามัญสำนึกและข้อเท็จจริงที่เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป
(๓.๑) ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างในการถูกข่มขืนในครั้งแรกว่า “จำเลยได้ข่มขืนข้าฯ ที่โรงแรมทรัพย์มุกดา ใช้เวลาประมาณ ๑๕ นาที เนื่องจากเวลาเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ และภายในห้องมีผ้าม่านปิดกระจกหน้าต่างไว้ แต่ยังพอมีแสงที่จะเห็นภายในบริเวณห้องได้ ฯลฯ เท่าที่ข้าสังเกตเห็นบริเวณหน้าอกจำเลยไม่มีขนหน้าอก และไม่ได้มีแผลเป็นที่มองเห็นเด่นชัด ฯลฯ ในวันที่จำเลยพาข้าฯ ไปที่โรงแรมทรัพย์มุกดา จำเลยสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีแดงสีเลือดหมูขุ่น และสวมกางเกงสแลคขายาวสีดำ ไม่ผูกไทด์ และในวันดังกล่าวจำเลยสวมกางเกงในสีขาวและกางเกงในของจำเลยบริเวณขอบรอบๆเอวมีตัวอักษรเป็นภาษาอังกฤษ ฯลฯ ห้องที่จำเลยพาข้าฯ ไปข่มขืนกระทำชำเราที่โรงแรมทรัพย์มุกดา ผ้าม่านหน้าต่างของห้องดังกล่าวสีชมพูอ่อนๆ ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนสีขาวฯลฯ”
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ดังกล่าวขัดต่อสามัญสำนึกและข้อเท็จจริงที่เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปหลายประการกล่าวคือ
(๓.๑.๑) ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างว่า ผู้เสียหายที่ ๒ ได้ดิ้นรนขัดขืน ซึ่งถ้าหากเป็นจริงดังที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้าง ย่อมขัดต่อสามัญสำนึก เพราะเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า ถ้าหากมีการข่มขืนเดี่ยวต่อเดี่ยวโดยไม่มีการใช้กำลังกัน หากมีการดิ้นรนขัดขืนย่อมไม่อาจที่จะกมีการข่มขืนกระทำชำเรากันได้
(๓.๑.๒) ถ้าหากจำเลยข่มขืนผู้เสียหายที่ ๒ ดังที่อ้าง ผู้เสียหายที่ ๒ ย่อมตกใจไม่อาจจดจำรายละเอียดได้มากดังที่อ้างในคำเบิกความ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปของผู้หญิงที่ย่อมจะตกใจและไม่สามารถที่จะจดจำรายละเอียดต่างๆ ได้ครบถ้วน แต่ในคดีนี้ผู้เสียหายที่ ๒ กลับอ้างว่า จดจำรายละเอียดได้มากเกินกว่าปกติสามัญทั่วไป ดังเช่น จดจำได้ถึงขนหน้าอกจำเลย สีของกางเกงในจำเลยรวมทั้งลักษณะ สีของผ้าม่่านและผ้าปูที่นอนของโรงแรม ทั้งที่ระยะเวลาข่มขืนที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างก็เพียง ๑๕ นาทีเท่านั้น พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรง และระยะเวลาที่เกิดไม่นานนักผู้เสียหายที่ ๒ อ้างว่า จดจำรายละเอียดได้มากจึงเป็นเรื่องที่ขัดกับสามัญสำนึกและปกติธรรมดาของคนทั่วไปจึงไม่น่าเชื่อ
นอกจากนี้ ดังที่จำเลยได้กราบเรียนอุทธรณ์แล้วว่า ในการให้การต่อพนักงานสอบสวนในครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ผู้เสียหายที่ ๒กลับไม่ได้ระบุรายละเอียดในการให้การในครั้งนี้แต่ประการใด แม้วันเวลากระทำความผิด ผู้เสียหายที่ ๒ ก็ระบุแต่เพียงกว้าง ๆ ว่า ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ เท่านั้นและไม่ได้ระบุวันกระทำความผิดในครั้งต่อมาอีกเลย สถานที่ใช้ในการข่มขืนในแต่ละครั้งก็มิได้มีการระบุ จึงเป้นไปไม่ได้ที่ผู้เสียหายที่ ๒ จะจดจำรายละเอียดได้ดังที่ได้เบิกความตอบศาลไป คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ในส่วนนี้จึงมีพิรุธ ขัดกับสามัญสำนึกโดยทั่วไป และไม่น่าเชื่อถือ
(๓.๑.๓) ที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างว่า ได้จัดทำสมุดบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ ก็ปรากฏว่า ผู้เสียหายที่ ๒ ได้ตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ได้เผาทำลายทิ้งไปเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ก่อนหน้าที่จะไปแจ้งความกับเจ้าพนักงานตำรวจไม่กี่วัน ซึ่งในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ ๒ ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.๑๒ ก็มิได้ระบุรายละเอียดดังเช่นที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความตอบศาล ระยะเวลาที่เกิดและที่เบิกความในศาลห่างกันเป็นระยะเวลาถึง ๑ ปีเศษจึงไม่น่าเชื่อว่า ผู้เสียหายที่ ๒ จะจดจำรายละเอียดได้มากดังที่ได้เบิกความ ที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความมาดังกล่าวข้างต้นจึงมีพิรุธและไม่มีนำ้หนักให้รับฟัง
(๓.๒) คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ที่อ้างว่า ถูกข่มขืนในครั้งต่อๆ มาก็มีพิรุธ ไม่น่าเชื่อถือ
ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า ถูกข่มขืนในครั้งต่อๆมา ก็ปรากกว่ามีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้
(๓.๒.๑) ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า ถูกข่มขืนต่อมาอีก ๕ ครั้ง โดยคำเบิกความดังกล่าวขัดต่อคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ ๒ ที่ได้ให้การในครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ว่า ถูกข่มขืนครั้งต่อ ๆ มา ที่บ้านพักในเขตนิคมคำสร้อย โดยมิได้ระบุวันเวลาและสถานที่ และให้การต่อมาว่า จำเลยได้พาผู้เสียหายที่ ๒ ที่ร้านยาในจังหวัดมุกดาหาร แต่ผู้เสียหายที่ ๒ จำชื่อร้านไม่ได้ ซึ่งในชั้นเบิกความตอบศาล ผู้เสียหายกล่าวอ้างว่า ได้จดรายละเอียดเหตุการณ์ไว้ในสมุดบันทึก และตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า ได้เผาสมุดบันทึกไปแล้วเมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนให้การต่อพนักงานสอบสวนไม่กี่วัน ซึ่งถ้าหากเป็นความจริงดังที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความ ในการให้การต่อพนักงานสอบสวนครั้งแรก ผู้เสียหายที่ ๒ ก็น่าจะจดจำรายละเอียดของวันที่ สถานที่และเหตุการณ์ได้ตั้งแต่วันนั้นเพราะเป็นระยะเวลากระชั้นชิดกับเหตุการณ์มากกว่า แต่กลับปรากฏว่า ผู้เสียหายที่ ๒ กลับจดจำรายละเอียดไม่ได้ แต่ในการให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมต่อมาอีกเดือนหนึ่ง ผู้เสียหายที่ ๒ กลับระบุวันเวลาและสถานที่เพิ่มเติมได้ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อความปกติธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง คำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ จึงไม่น่าเชื่อและเป็นพิรุธอย่างยิ่ง
(๓.๒.๒) นอกจากนั้นการที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างว่า จำเลยโทรศัพท์ไปหา ผู้เสียหายที่ ๒ ก็ออกมาหาทุกครั้ง แต่กลับเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยในเหตุการณ์ครั้งต่อๆมาว่า
(ก) “ฯลฯ ในวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ จำเลยได้พาข้าฯไปที่สวนนำ้รีสอร์ท ฯลฯ จำเลยลงไปติดต่อขอเช่าห้องพัก ฯลฯข้าฯไม่ยอมเปิดประตูรถหนีออกไป เพราะกลัวจำเลย ฯลฯ ในขณะอยู่ภายในห้องของสวนนำ้รีสอร์ท ฯลฯ ข้าฯก็มีโอกาสที่จะหนีออกจากห้องดังกล่าวได้ ฯลฯ”
(ข) “ฯลฯวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ฯลฯ จำเลยพาข้าฯไปที่มะละกอรีสอร์ท ฯลฯ วนการเดินเข้าห้องพักที่มะละกอรีสอร์ท ข้าฯเดินตามหลังจำเลยห่างประมาณ ๑ ช่วงแขน ฯลฯ เหตุที่ข้าฯไม่ยอมวิ่งหนีเนื่องจากข้าฯกลัวจำเลย ฯลฯ”
(ค) “ฯลฯ เมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ฯลฯ จำเลยขับพาข้าฯไปถึงสวนนำ้รีสอร์ท แล้วจำเลยได้ขับรถไปจอดไว้ข้างห้องพัก แล้วให้ข้าฯเดินไปเข้าทางประตูด้านหลังของห้องพัก ฯลฯ”
(ง) “ฯลฯ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ จำเลยได้พาข้าฯไปที่มะละกอรีสอร์ท ฯลฯ ในขณะที่จำเลยเดินออกไปติดต่อขอเช่าห้องพัก ข้าฯสามารถที่จะหลบหนีหรือร้องขอความช่วยเหลือบุคคลภายนอกได้ แต่ข้าฯไม่ได้กระทำ ฯลฯ”
(จ) “เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ จำเลยได้พาข้าฯไปที่สวนำ้รีสอร์ท ฯลฯ”
จากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ ๒ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งหากเป็นจริงดังที่ผู้เสียหายที่ ๒ อ้างก็จะเห็นพฤติการณ์ได้ว่า ในแต่ละครั้ง ได้มีการโทรชักชวนผู้เสียหายที่ ๒ ให้ออกมา ผู้เสียหายที่ ๒ ก็ออกมา และนั่งรถไปกับจำเลยและมีการร่วมประเวณีกันทุกครั้ง ซึ่งถ้าผู้เสียหายที่ ๒ ก็ทราบข้อเท็จจริงนี้ดีอยู่แล้วว่า หากออกมา จะมีการร่วมประเวณีกันทุกครั้ง ซึ่งถ้าหากผู้เสียหายที่ ๒ ไม่ยินยอม ผู้เสียหายที่ ๒ ย่อมไม่เดินทางออกมาตามคำชวนทางโทรศัพท์และไม่อาจมีการร่วมประเวณีกันได้ คำเบิกความอ้างของผู้เสียหายที่ ๒ ดังกล่าวข้างต้นจึงไม่อาจที่จะเป็นการข่มขืนกระทำชำเราได้
แต่อย่างไรก็ดี จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่เคยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ ๒ และไม่เคยพาผู้เสียหายที่ ๒ ไปยังสถานที่ที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างถึงในคดีนี้ ที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความมา
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า จำเลยมีพยานหลักฐานชัดเจนแน่นอน ยืนยันได้ว่า ตามวัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุที่ผู้เสียหายที่ ๒ เบิกความอ้างถึงในข้อนี้ จำเลยไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ดังข้อเท็จจริงและเหตุผลที่จำเลยจะขอกราบเรียนในอุทธรณ์ข้อต่อไปนั้น
ประการที่สอง พยานหลักฐานอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยมีนำ้หนักน่าเชื่อถือ
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า นอกจากผู้เสียหายที่ ๒ จะอ้างวันที่กระทำความผิดโดยอ้างว่า ได้จดบันทึกไว้ซึ่งมีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ ดังที่จำเลยได้กราบเรียนมาในอุทธรณ์แล้ว จำเลยยังขอกราบเรียนว่า พยานหลักฐานอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยมีนำ้หนักน่าเชื่อถือ โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้
(๑)ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่เชื่อการนำสืบอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า
(๑.๑) ดังที่จำเลยได้กราบเรียนมาในอุทธรณ์ข้างต้นแล้วว่า ผู้เสียหายที่ ๒ ได้เบิกความเป็นเท็จว่า ได้เกิดเหตุในคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ โดยจำเลยพาผู้เสียหายไปที่จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งจำเลยได้นำเสนอภาพถ่ายแสดงว่า ในวันนี้ผู้เสียหายที่ ๒ ได้อยู่กับเพื่อนๆ หาได้ไปจังหวัดมุกดาหารดังคำเบิกความไม่
(๑.๒) จำเลยมีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่า ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ จำเลยเวลากลางวันจำเลยไปทำหน้าที่เป็นวิทยากรการอบรมหลักสูตรการพัฒนาทักษะและกระบวนการเรียนรู้ครูคณิตศาสตร์ ณ โรงแรมภูดิน อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร จำเลยยังอ้างส่งภาพถ่ายหมาย ล.๙ และวุฒิบัตรเอกสารหมาย ล.๙ ประกอบคำเบิกความ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในคดีนี้นั้น จำเลยไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่จำเลยอยู่ที่สถานที่ตามคำเบิกความของจำเลยจริง ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยยอมรับว่า ภาพถ่ายหมาย ล.๙ ภาพที่ ๑ แล้วเชื่อได้ว่าสถานที่ตามที่ปรากฏในภาพถ่ายดังกล่าวเป็นสถานที่ภายในโรงแรมที่จำเลยอ้างว่าเป็นสถานที่ที่จำเลยไปทำหน้าที่เป็นวิทยากรจริง
(๑.๓) แต่ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ภาพถ่ายหมาย ล.๙ ภาพที่ ๑ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลที่ปรากฏในภาพถ่ายดังกล่าวเป็นภาพของจำเลยขณะที่ทำหน้าที่เป็นวิทยากรในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ จริงหรือไม่ นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า นอกจากภาพถ่ายหมาย ล. ๙ ภาพที่ ๑ แล้ว จำเลยยังได้อ้างส่งภาพถ่ายหมาย ล.๙ ภาพที่ ๒ ถึงภาพที่ ๕ อีกด้วย ซึ่งเป็นภาพถ่ายที่จำเลยจดจำได้ว่า ได้เป็นวิทยากรในวันดังกล่าว แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษามา จำเลยจึงทราบว่า ทนายจำเลยได้หยิบภาพผิดพลาดไป ซึ่งความจริงแล้ว ภาพ ล.๙ ภาพที่ ๒ ถึงภาพที่ ๕ เป็นภาพในการเป็นวิทยากรครั้งแรก ส่วนในการเป็นวิทยากรครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๒๕ นั้น จำเลยยังมีนางฐิติมญชุ์ โสดก ซึ่งเป็นวิทยากรร่วมได้ทำบันทึกรับรองและมอบภาพถ่ายอันแสดงว่า ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ ช่วงเวลา ๑๑.๑๒ นาฬิกา นายฐิติมญชุ์ได้ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับจำเลย และได้มอบภาพถ่าย ซึ่งแสดงว่า จำเลยได้อยู่กับนางชุติมญช์ในเวลาดังกล่าวจริง ปรากฏตามบันทึกและภาพถ่าย เอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๕ ซึ่งตามภาพถ่ายจะเห็นได้จากข้อความด้านล่างของภาพระบุวันเวลาที่ถ่ายภาพว่า “Modified Date : 6/25/2009 11:22:56 AM” (หมายความว่า วันที่ถ่ายคือ วันที่ ๒๕ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๑ นาฬิกา ๒๒ นาที ๕๖ วินาที ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ภาพถ่ายดังกล่าวได้ถ่ายตามวันเวลาที่ได้ระบุจริง ตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยจึงไม่ได้อยู่ในสถานที่อ้างว่าเกิดเหตุในคดีนี้ แต่อยู่เป็นวิทยาการดังที่ปรากฏตามภาพถ่าย เอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๕ จริง
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า ตามภาพถ่าย เอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๕ นั้น เป็นภาพที่ได้จากการพิมพ์ออกมาจาหน้าจอคอมพิวเตอร์ในขณะที่แสดงผล โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกกันว่า ACDsee Pro Photo Manager ซึ่งแสดงด้านบนซ้ายของจอภาพ และแสดงรายละเอียดของภาพด้วยตัวหนังสือสีดำบนแถบเมนูด้านล่างเรียงตามลำดับดังนี้ เป็นภาพที่ ๓ จากจำนวน ๒๒ ภาพ ชื่อของภาพนี้คือ IMG_1464 ขนาดภาพ 1.2 MB ภาพ ถ่ายภาพเมื่อวันที่ 6/25/2009(คือวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๒) เวลา 11:22:56 AM(คือเวลา ๑๑ นาฬิกา ๒๒ นาที ๕๖ วินาที ในเวลาเช้า) ขนาดภาพที่นำเสนอขยาย 43% ซึ่งนอกจากภาพถ่ายเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๑ แล้ว ยังมีภาพถ่ายนี้ประกอบเป็นพยานหลักฐานรับฟังมั่นคงปราศจากสงสัยว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์
(๑.๔) นอกจากนั้น จำเลยยังมีเอกสารยืนยันแสดงว่า จำเลยได้เป็นวิทยากรในวันดังกล่่าวจริงปรากฏตาม เอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๖
จากข้อเท็จจริงและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
(๒) ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่เชื่อการนำสืบอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยในวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า
(๒.๑) จำเลยมีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่า ในวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ จำเลยได้เดินทางไปที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งนอกจากจะมีตัวจำเลยเข้าเบิกความประกอบกับเอกสารแล้ว ยังมีนางนิรมล จงจินากูล ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียนเลิงนกทา เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ในวันนี้ พยานได้ร่วมเดินทางไปจังหวัดมหาสารคามกับจำเลย ซึ่งนางนิรมลเป็นข้าราชการและเป็นพยานคนกลาง ไม่มีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ จึงน่าเชื่อว่าได้เบิกความไปตามความจริง นางนิรมลเป็นข้าราชการไม่จำเป็นที่จะต้องมาเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์
(๒.๒) ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่เชื่อคำเบิกความของนางนิรมล จงจินากูล โดยเห็นว่า มีการซักซ้อมพยานหน้าห้องพิจารณานั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า ในช่วงระยะนั้น จำเลยป่วยเป็นโรคนิ่ว ดังปรากฏตามใบรับรองแพทย์ เอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๗ จึงทำให้จำเลยต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ เวลาจำเลยเดินจะเจ็บเดินกระโผลกกระเผลก ในวันนั้นหลังจากจำเลยเบิกความเสร็จแล้ว ก็ขออนุญาตศาลเข้าห้องน้ำ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมไปด้วย จำเลยจึงไม่ได้กระทำการตามที่ศาลสงสัยแต่ประการใด นางนิรมลเพียงแต่ถาม จำเลยว่า ทำไมถึงเดินอย่างนั้น ซึ่งจำเลยก็ตอบไป ซึ่งศาลก็ถามจำเลยและนางนิรมล ซึ่งจำเลยก็ตอบศาลโดยข้อเท็จจริงที่ยกมาในอุทธรณ์ดังกล่าวข้างต้น แต่ศาลไม่ได้จดคำของจำเลยไว้ในรายงานกระบวนเท่านั้น
(๒.๓) (ในเรื่องจำนวนคนที่ศาลชั้นต้นอ้างว่าแตกต่างกัน ๗ กับ ๔ คน นั้นเป็นการแตกต่างในรายละเอียดเล็กน้อย ไม่ทำให้รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามจริงแต่อย่างใด
(๓) ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่เชื่อการนำสืบอ้างฐานที่อยู่ของจำเลย ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า
(๓.๑) ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๐๘.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. จำเลยเข้าเรียนในห้องเรียนระดับปริญญาโท ระบบนอกเวลาราชการ ศูนย์การศึกษษอำเภอเลิงนกทา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม รุ่นที่ ๑ หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๑ โดยในวันดังกล่าวได้เรียนในรายวิชาการจัดการหลักสูตรและการสอน ปรากฏตามบันทึกและตารางเรียนเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๘
(๓.๒) ในการเข้าเรียนในวันดังกล่าว ได้มีนักศึกษาชั้นปริญญาโทที่ศึกษาด้วยได้ลงลายมือชื่อรับรองว่า จำเลยได้เข้าร่วมเรียนอยู่ที่ศูนย์การศึกษาดังกล่าวจริง ปรากฏตามบันทึกและตารางเรียนเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๘
(๓.๓) ส่วนในวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๒ และวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๒ นั้น ก็เช่นเดียวกับ ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โดยทั้งสองวันในเวลา ๐๘.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. จำเลยเข้าเรียนในห้องเรียนระดับปริญญาโท ระบบนอกเวลาราชการ ศูนย์การศึกษษอำเภอเลิงนกทา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม รุ่นที่ ๑ หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๑ โดยในวันดังกล่าวได้เรียนในรายวิชาการวิจัยและการพัฒนาทางการบริหารและการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา ปรากฏตามบันทึกและตารางเรียนเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๙ และ ๑๐
(๓.๒) ในการเข้าเรียนในวันดังกล่าว ได้มีนักศึกษาชั้นปริญญาโทที่ศึกษาด้วยได้ลงลายมือชื่อรับรองว่า จำเลยได้เข้าร่วมเรียนอยู่ที่ศูนย์การศึกษาดังกล่าวจริง ปรากฏตามบันทึกและตารางเรียนเอกสารท้ายอุทธรณ์หมายเลข ๘-๑๐
(๔)ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่เชื่อการนำสืบอ้างฐานที่อยู่ของจำเลย ในวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ นั้น
จำเลยขอกราบเรียนอุทธรณ์ว่า
(๔.๑) ในวันดังกล่าวจำเลยไปอบรมกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการมัธยมศึกษาตอนปลายจังหวัดยโสธร ณ โรงเรียนยโสธรพิทยาคม อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร นอกจากจำเลยจะอ้างตนเองเป็นพยานแล้ว จำเลยยังได้นำส่งแบบบันทึกขอไปราชการของโรงเรียนเลิงนกทาและเกียรติบัตรเอกสารหมาย ล.๑๐ และ ล.๑๑ มาประกอบคำเบิกความด้วย เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารราชการย่อมไม่อาจทำขึ้นตามลำพังได้
(๔.๒) จำเลยยังได้อ้างส่งเกียรติบัตรเพื่อแสดงว่าจำเลยผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาสู่การจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพในระหว่างวันที่ ๗ ถึง ๘ สิงหาคม ๒๕๕๒ ย่อมยืนยันได้ว่า ในวันเวลาดังกล่าวมีการอบรมจริง ซึ่งการอบรมดังกล่าวผู้เข้าร่วมอบรมจะต้องอยู่ประจำตลอดเวลา ทั้งทำที่ต่างอำเภอต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับเป็นระยะเวลานาน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยจะอยู่ที่โรงเรียนและสถานที่เกิดเหตุดังคำอ้างของผู้เสียหายที่ ๒
จากข้อเท็จจริงและเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง
อาศัยเหตุผลของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้น พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีนำ้หนักรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ขอศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ได้ไปรดพิจารณาพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยพิพากษายกฟ้องโจทก์ปล่อยตัวจำเลย ให้พ้นข้อหาไปด้วย .
ควรมิควรแล้วแต่จะโป รด